อาการปวดหลัง ปวดข้อ ปวดเข่า นิ้วล็อก

อาการปวดหลังเป็นอาการหนึ่งที่เป็นกันบ่อยๆ ประมาณ 4/5ของผู้ใหญ่จะเกิดอาการปวดหลัง ซึ่งอาจจะมากบ้างน้อยบ้างขึ้นกับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และการดูแลตัวเอง การที่มีอาการปวดหลังไม่ได้หมายความว่าจะมีการทำลายเนื้อเยื่อของร่างกาย การปวดหลังเป็นเพียงเกิดการอักเสบขึ้นที่โครงสร้างของหลัง
อาการที่สำคัญที่แสดงว่าเส้นประสาทถูกทำลายและ
ต้องพบแพทย์โดยด่วนได้แก่
1. กลั้นปัสสาวะหรืออุจาระไม่อยู่
2. อ่อนแรงของขา
บทความนี้จะกล่าวถึงกลไกการเกิดโรคปวดหลัง การป้องกัน การรักษา
ส่วนประกอบของหลังของเรา

หลังของเรามิได้ประกอบด้วยกระดูกชิ้นเดียวแต่ประกอบไปด้วยกระดูกสันหลังทั้งหมด 24 ชิ้นที่เรียกว่าvertebrae วางซ้อนกันตั้งแต่กระดูกสะโพกถึงกะโหลกศีรษะ ระหว่างกระดูกแต่ละชิ้นจะเนื้อนุ่มเหมือนฟองน้ำขั้นกลางเรียกหมอนรองกระดูก ซึ่งจะรับแรงกระแทกของกระดูก และเพิ่มความคล่องตัวในการเคลื่อนไหว กระดูกสันหลังทำหน้าที่เป็นแกนกลางของร่างกาย กระดูกจะถูกยึดติดเป็นแนวโดยอาศัยกล้ามเนื้อและเอ็น การหดเกร็งกล้ามเนื้อหลังจะทำให้เกิดการเคลื่อนไหว
หน้าอีกอย่างหนึ่งของกระดูกสันหลังคือเป็นทางผ่านของประสาทไขสันหลัง (spinal cord) วิ่งเริ่มต้นจากสมองในกะโหลกศีรษะลงมาในช่องกระดุกสันหลัง และมีเส้นประสาท ( spinal nerve ) ออกบริเวณข้อต่อของกระดูกไปเลี้ยงยังอวัยวะต่างๆ
แพทย์จะแบ่งกระดูกหลังออกเป็นห้าส่วนคือ cervical ,thoracic ,lumbar,sacrum
,coccyx ส่วนที่เคลื่อนไหวได้มากที่สุดคือส่วนเอว(lumbar) และเป็นส่วนที่ทำให้
เกิดอาการปวดหลังได้มากที่สุด อวัยวะที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังได้แก่
· 1. รากประสาทที่ออกจากไขสันหลังอาจจะถูกกระตุ้นทำให้มีอาการปวด
· 2.ปลายประสาทที่เลี้ยงไขสันหลังอาจจะถูกกระตุ้นทำให้มีอาการปวด
· 3.กล้ามเนื้อหลังอาจเกร็งอยู่ตลอดเวลาทำให้เกิดอาการปวด
· 4.กระดูกสันหลัง เอ็น และข้อต่อกระดูกสันหลังอาจจะเกิดโรคทำให้ปวด
· 5.โรคที่เกิดระหว่างกระดูกเช่นหมอนกระดูกทับเส้นประสาท
สำหรับตำแหน่งที่มักจะทำให้เกิดอาการปวดได้แก่
บริเวณกระดูกคอ cervical
· บริเวณกระดูกหน้าอก thorax
· บริเวณกระดูกเอว lumbar
ดังนั้นการทบทวนโครงสร้างของกระดูกสันหลังจะทำให้เราเข้าใจสาเหตุ กลไกการเกิดอาการปวดรวมทั้งการให้การรักษา ส่วนประกอบสำคัญที่ประกอบเป็นกระดูกสันหลังได้แก่
กระดูกสันหลังประกอบด้วยส่วนใหญ่ๆดังนี้ (Vertebral bodies)

1. กระดูกต้นคอ cervical spine (neck) มีด้วยกัน 7 ชิ้น สองชิ้นแรกเชื่อมติดกัน หน้าที่ของกระดูกต้นคอสอง ชิ้นแรก คือการหมุนของคอ ส่วนกระดูก 5 ชิ้นที่เหลือจะเชื่อกันด้วยข้อต่อ 3 แห่งคือส่วนที่กับหมอนรองกระดูกหนึ่งแห่ง และ เชื่อมติดกันด้วยข้อต่อ facet joints อีกสองแห่ง
2. 2. กระดูกหน้าอก thoracic spine (upper back) มีด้วยกัน 12 ชิ้น กระดูกบริเวณนี้ มีการเคลื่อนไหวน้อย เนื่องจากมีกระดูกซี่โครง และกระดูกกลางหน้าอกเชื่อมดังนั้นบริเวณนี้จึงไม่ค่อยมีอาการปวด
3. 3. กระดูกเอว lumbar spine (lower back) มีด้วยกัน 5 ชิ้นโดยวางอยู่บนหมอนหุ้มกระดูก กระดูกบริเวณนี้จะ รองรับน้ำหนักตัวครึ่งหนึ่ง ส่วนน้ำหนักอีกครึ่งหนึ่งรองรับด้วยระบบกล้ามเนื้อ กระดูกบริเวณนี้มีการเชื่อมต่อกันด้วย 3 ข้อต่อ เหมือนกันทำให้กระดูกบริเวณนี้สามารถเคลื่อนไหวไก้รอบตัวเช่น การก้ม การหงายไปข้างหลัง การหมุน การโยกออกด้านข้าง การโยกมาข้างหน้าจะใช้ข้อที่กระดูกเอว50%ที่เหลือใช้ข้อกระดูกสะโพกโดยข้อที่เคลื่อนไหวมากที่สุดคือข้อกระดูกเอวข้อ ที่3-5 ซึ่งเป็นข้อที่กระดูกเสื่อมมากที่สุด
4. 4.กระดูก sacrum เป็นกระดูก 5 ชิ้นเชื่อมติดกันและต่อกับกระกระดูกสะโพกที่เรียกว่า sacroiliac jointมักจะไม่มีอาการปวดเนื่องจากไม่มีการเคลื่อนไหว
5. 5. กระดูก coccyx หรือกระดูกก้นกบ หากไม่ได้รับการกระทบกระแทกมักจะไม่ปวด
2.หมอนรองกระดูก (Vertebral discs)
หมอนรองกระดูกทำหน้าที่รองรับการกระแทก รูปร่างคล้ายโดนัทประกอบ
ด้วย 2 ชั้น ชั้นนอกเหนียวทนทาน ชั้นในอ่อนนุ่ม ส่วนประกอบที่สำคัญคือน้ำพบ
ได้ร้อยละ 80 ตั้งแต่แรกเกิด เมื่ออายุมากขึ้นก็เกิดอาการเสื่อม ปริมาณน้ำลดลง
มีการแข็งตัวของหมอนกระดูกซึ่งเป็นไปตามวัย บางคนอาจจะมีอาการปวดหลัง
มาก
นอกจากหมอนจะเสื่อมตามอายุ ยังมีสาเหตุที่ทำให้เสื่อมก่อนวัยได้แก่การที่มีการบิดอย่างแรงของหมอนกระดูก เช่นคนที่ไปตีกอล์ฟทำให้มีอาการปวดหลัง

A=กระดูกสันหลัง
B=หมอนรองกระดูก

เกิดแแรงบิดทำให้ช่องระหว่างกระดูกแคบลง
3.ไขสันหลัง(Spinal cord)และเส้นประสาท (nerve roots)
เส้นประสาทไขสันหลังทำหน้าที่เชื่อมระหว่างสมองกับอวัยวะอื่น มันออกจาก
สมองแล้ววิ่งในช่องกระดูกสันหลังผ่านกระดูกคอ กระดูกส่วนอกและสิ้นสุดที่
กระดูกอกส่วนล่าง ดังนั้นหากได้รับอุบัติเหตุที่คอ และกระดูกส่วนอก อาจจะทำให้
เส้นประสาทไขสันหลังได้รับอันตรายจนเกิดอาการอัมพาต เนื่องจากกระดูกส่วน
เอว(lumba spine)ไม่มีเส้นประสาทไขสันหลังแต่มันเป็นที่รวมของราก
ประสาท(nerve roots)ดังนั้นหากมีหมอนกระดูกทับเส้นประสาทบริเวณนี้ อาจจะ
ทำให้เกิดอาการอ่อนแรงของขาทั้งสองข้าง
รากประสาท จะออกผ่านทางรูระหว่างกระดูก ซึ่งเป็นจุดที่อ่อนแอที่สุดและเป็นจุดที่หมอนกระดูกมักจะกดทับ ตำแหน่งที่หมอนกระดูกมักจะกดทับได้แก่
1. 1. กระดูดต้นคอ
· - หมอนรองกระดูกกดทับระหว่างกระดูกต้นคอที่4-5จะกดทับรากประสาทคู่ที่ 5 จะมีอาการปวดไหล่ กล้ามเนื้อไหล่อ่อนแรงและอาจจะมีอาการชาบริเวณไหล่
· -ื หมอนรองกระดูกกดทับระหว่างกระดูกต้นคอที่5-6จะกดทับรากประสาทคู่ที่ 6เป็นตำแหน่งที่พบบ่อย ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนแรงกล้ามเนื้อต้นแขนด้านหน้า (biceps)ทำให้ยกของไม่ขึ้น และกล้ามเนื้อ wrist extensors อ่อนแรงทำให้เราไม่สามารถเหยียดข้อมือ มีอาการปวดหรือชาตั้งแต่แขนลงไปถึงนิ้วหัวแม่มือ
· - หมอนรองกระดูกกดทับระหว่างกระดูกต้นคอที่6-7จะกดทับรากประสาทคู่ที่7 อาการชาและปวดจะอยู่ด้านในของแขนวิ่งไปบริเวณนิ้วกลาง
· - หมอนรองกระดูกกดทับระหว่างกระดูกต้นคอที่7-8จะกดทับรากประสาทคู่ที่8 เส้นประสาทนี้จะเลี้ยงกล้ามเนื้อนิ้วมือทำให้กำหรือเหยียดมือไม่สะดวก จะมีอาการชาหลังมือโดยเฉพาะบริเวณนิ้วก้อย
2. 2 กระดูกสันหลังส่านหน้าอก บริเวณนี้มักจะไม่เกิดโรคหมอนกระดูกทับเส้นประสาท
3. 3. กระดูกสันหลังส่วนเอวเป็นตำแหน่งที่พบบ่อยที่สุดโดยเฉพาะบริเวณกระดูกเอวข้อที่4-5 กดทับเส้นประสาทคู้5ของเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงบริเวณเอวผู้ป่วยจะกระดกไม่ขึ้น กระดกนิ้วหัวแม่เท้าไม่ขึ้นและมีอาการชาบริเวณดังรูป
4.กล้ามเนื้อหลัง Muscle
กล้ามเนื้อและเอ็นจะทำหน้าที่ประคับประคองกระดูกสันหลัง หากมี
การอักเสบก็จะทำให้มีการหดเกร็งของกล้ามเนื้อทำให้เกิดอาการปวด
หลัง การที่มีอาการปวดหลังมากกว่า 2 สัปดาห์อาจจะทำให้เกิดอาการ
ปวดหลังเรื้อรังได้เนื่องจากเมื่อปวด ก็ทำให้ไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อกลุ่มนั้น
ทำให้กล้ามเนื้อกลุ่มนั้นไม่แข็งแรงผลทำให้ข้อไม่แข็งแรงทำให้ปวดหลัง
เรื้อรังในที่สุด นอกจากอาการปวดหลังจะเกิดจากตัวกล้ามเนื้อหลัง แล้ว
ยังอาจจะเกิดจากการอักเสบของกล้ามเนื้อขาด้วย เนื่องจากร่างกายจะ
ไปใช้ข้อที่กระดุกหลังมากกว่าข้อที่สะโพก

สาเหตุของปวดหลัง
โรคปวดหลังส่วนใหญ่มักจะไม่ร้ายแรงร้อยละ 50หายในสองสัปดาห์ ร้อยละ 90 หายในสามเดือน ส่วนใหญ่เกิดจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อหลัง การอักเสบมักจะหายได้ง่ายเนื่องจากกล้ามเนื้อมีเลือดไปเลี้ยงมาก
สาเหตุของโรคปวดหลังที่พบในคนอายุมากกว่า 60 ปีสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากโรคข้อต่อ
· ข้อเสื่อม Facet joint osteoarthritis
· ท่อไขสันหลังตีบ Lumbar spinal stenosis
· กระดูกหลังเสื่อม Degenerative spondylolisthesis
ผู้ป่วยโรคปวดหลังมักจะหายปวดภายใน 2 สัปดาห์ แต่บางรายอาจจะต้องใช้เวลา 3 เดือน
หากอาการปวดไม่หาย ก็จัดเป็นโรคปวดหลังเรื้อรัง การรักษาโรคปวดหลังมีจุดประสงค์คือ
· - ลดอาการปวดและอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ
· - จัดท่าให้ถูกต้องรวมทั้งการป้องกันโรคปวดหลัง
- รักษาภาวะอื่นที่พบร่วมกับอาการปวดหลัง
1. การรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด เป็นการรักษาที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลังหรือปวดต้นคอที่ไม่สามารถระบุตำแหน่งชัดเจน โดยมากหากมีอาการปวดหลังเฉียบพลันมักจะให้นอนพัก 2 วันเพื่อลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ และให้กล้ามเนื้อหลังได้พัก การรักษาโดยไม่ต้องใช้ยาประกอบไปด้วย
2. 2. การรักษาโดยวิธีผ่าตัด โดยจะพิจารณาผ่าตัดในราย
· กลั้นปัสสาวะ กลั้นอุจาระไม่อยู่
· มีอาการอ่อนแรงหรือชาเท้า
การรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัดสามารถแบ่งออกเป็น
โรคปวดหลังที่เกิดจากโรคทางอายุรกรรมเช่นข้ออักเสบ กระดูกพรุน หรือการ
ตั้งครรภ์ไม่จำเป็นต้องรักษาโดยการผ่าตัด และส่วนใหญ่จะหายได้เองการรักษา
เมื่อเกิดอาการปวดหลังใหม่ๆ
1. 1.การพักโดยมากแนะนำไม่ให้เกิน 2-3 วันหากอาการปวดไม่รบกวนการทำงานก็ไม่จำเป็นต้องพัก การพักนานๆจะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงจะเป็นผลเสียต่ออาการปวดหลัง จะต้องนอนพักให้อย่างเพียงพอ ท่าที่นอนที่ดีคือนอนตะแคงและมีหมอนข้างอยู่ระหว่างเข่า หรือนอนหงายเอาหมอนข้างรองเข่า
2. การทำกายภาพบำบัด โดยเฉพาะการลดอาการปวดหลังที่เกิดอย่างเฉียบพลันแบ่งออกเป็น
2.1 การประคบร้อนหรือประคบเย็น (Heat/ice packs) การประคบร้อนหรือประคบเย็นจะช่วยลดอาการปวดบางคนใช้ความร้อนแล้วได้ผล บางคนใช้ความเย็นแล้วได้ผล บางคนอาจจะใช้สลับกัน โดยทั่วไปแนะนำให้ประคบครั้งละ 10-20 นาทีทุก 2 ชั่วโมงมักใช้ได้ผลในกรณีปวดแบบปัจจุบันส่วนใหญ่หลังอุบัติเหตุใหม่ๆให้ประคบเย็นครั้งละไม่เกิน 20 นาที(เอาน้ำแข็งใส่ถุงพลาสติกแล้วใช้ผ้าคลุม)ก่อนหลังจากนั้นจึงประคบร้อนครั้งละไม่เกิน 20 นาที
· 2.2 TENS unit(transcutaneous electrical nerve stimulator (TENS))คือการฝังเข็มแล้วกระตุ้นด้วยไฟฟ้า
· 2.3 Iontophoresis คือการทายา steroid ที่ผิวหนังแล้วกระตุ้นด้วยไฟฟ้าเพื่อให้ยาถูกดูดซึม สามารถลดอาการปวดแบบเฉียบพลันได้ผลดี
· 2.4 ultrasound เป็นการใช้ความร้อนผ่านทางคลื่นเสียงใช้ได้ผลดีสำหรับปวดแบบเฉียบพลัน
· 2.5 Stretching การบริหารชนิดนี้จะช่วยทำให้เนื้อเยื่อ เอ็น กล้ามเนื้อ รอบกระดูกสันหลังมีการเคลื่อนไหวและยืดหยุ่น หากมีการเกร็งของกล้ามเนื้อหรือเอ็นจะทำให้มีอาการปวดหลัง ผู้ที่มีโรคปวดหลังควรจะมีการยืดกล้ามเนื้อhamstring ซึ่งจะช่วยลดอาการปวดหลัง ควรจะทำวันละ 2 ครั้งครั้งละ 30-45 วินาทีโดยทำทุกเช้าหลังตื่นนอน
· 2.6 Strengthening/pain relief exercises
· 2.7 Low-impact aerobic conditioning เป็นการออกกำลังที่สำคัญในการลดอาการปวดหลังและป้องกันอาการปวดหลัง ผู้ที่ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอจะไม่ค่อยมีอาการปวดหลัง สามารถทำงานได้ใกล้เคียงคนปกติ หากมีอาการปวดหลังก็จะปวดไม่มากและหายเร็วควรจะออกวันละ 30-40 นาทีให้ได้ aerobic หัวใจเต้นได้ตามเกณฑ์ มีการออกกำลังได้หลายวิธี เช่นการเดิน การขี่จักรยาน การออกกำลังกายในน้ำ การออกกำลังในน้ำจะลดอาการปวดหลังควรจะทำในช่วงเริ่มต้น เมื่ออาการปวดดีขึ้นจึงไปออกบนดินทำเป็นประจำวันเว้นวัน
โรคข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis of the knee)

อาการที่สำคัญของข้อเสื่อม
· อาการปวดเข่า เป็นอาการที่สำคัญ เริ่มแรกจะปวดเมื่อยตึงด้านหน้า และด้านหลังของเข่า หรือบริเวณน่อง เมื่อเป็นมากจะปวดเข่าเมื่อ เคลื่อนไหว ลุกนั่ง หรือเดินขึ้นบันไดไม่คล่องเหมือนเดิม
· มีเสียงในข้อ เมื่อเคลื่อนไหวผู้ป่วยจะรู้สึกมีเสียงในข้อและปวดเข่า
· อาการบวม ถ้าข้อมีการอักเสบก็จะเกิดข้อบวม
· ข้อเข่าโก่งงอ อาจจะโก่งด้านนอกหรือโก่งด้านใน ทำให้ขาสั้นลงเดินลำบากและมีอาการปวดเวลาเดิน
ข้อเข่ายึดติด ผู้ป่วยจะไม่สามารถเหยียดหรืองอขาได้สุดเหมือนเดิมเนื่องจากมีการยึดติดภายในข้อ
ปัจจัยที่ทำให้เกิดข้อเสื่อม
- อายุ อายุมากมีโอกาสเป็นมากเนื่องจากอายุการใช้งานมาก
· - เพศหญิงจะเป็นโรคเข่าเสื่อมมากกว่าผู้ชาย 2 เท่า
· - น้ำหนัก ยิ่งน้ำหนักตัวมากข้อเข่าจะเสื่อมเร็ว
· - การใช้ข้อเข่า ผู้ที่นั่งยองๆ นั่งขัดขัดสมาธิ หรือนั่งพับเพียบนานๆจะพบข้อเข่าเสื่อมเร็ว
· - การได้รับบาดเจ็บบริเวณข้อเข่า ผู้ที่ได้รับอุบัติเหตุที่ข้อเข่าไม่ว่าจะกระดูกข้อเข่าแตกหรือเอ็นฉีก จะเกิดข้อเข่าเสื่อได้
· - ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก ผู้ที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและได้รับแคลเซียมในปริมาณที่พอเพียงจะชะลอการเสื่อมของเข่า
แพทย์จะวินิจฉัยข้อเข่าเสื่อมได้อย่างไร หากท่านมีอาการปวดเข่าเรื้องรัง เมื่อ
ไปพบแพทย์หากสงสัยว่าเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมแพทย์ก็จะมีขั้นตอนการวินิจฉัยดังนี้

1. 1.ซักประวัติและตรวจร่างกายโดยเน้นทีการตรวจข้อเข่า ซึ่งอาจจะพบลักษณะที่สำคัญคือ ข้อบวม หรือขนาดข้อใหญ่และมีการงอ ของข้อเข่า
2. 2. การถ่ายภาพรังสี ก็จะพบว่าช่องว่างระหว่างกระดูกเข่าแคบลงซึ่งหมายถึงกระดูกอ่อนมีการสึกหรอ หากสึกมากก็ไม่พบช่องว่างดังกล่าว
3. 3 .การเจาะเลือด เพื่อวินิจฉัยแยกโรคที่อาจจะเป็นสาเหตุของโรคปวดเข่าเรื้อรังเช่น โรคเกาต์ หรือโรครูมาตอยด์
4. 4. การตรวจน้ำหล่อเลี้ยงเข่า ในกรณีที่เข่าบวมแพทย์จะเยาะเอาน้ำหล่อเลี้ยงเข่าออกมาตรวจด้วยกล้องจุลทัศน์
5. 5. การตรวจความหนาแน่นของกระดูก เป็นการตรวจหาโรคกระดูกพรุน
ข้อเข่าเสื่อมหรือโรคข้อเข่าเสื่อมเป็นภาวะที่ข้อเข่าผ่านการใช้งานมาเป็นเวลา
นาน เกิดการเสื่อมของข้อ ทำให้มีการงอกของกระดูกเวลาเดินจะเจ็บข้อ มีการผิด
รูปของข้อเข่า โรคข้อเข่าเสื่อมมักพบในผู้สูงอายุทำให้เกิดความทรมานแก่ผู้สูง
อายุเป็นอย่างยิ่ง คุณภาพชีวิตลดลง และทำให้โรคอื่นๆกำเริบ เช่นโรคเบาหวาน
ความดันโลหิตสูง เนื่องจากออกกำลังไม่ได้
โครงสร้างของข้อเข่า
ข้อเข่าของคนประกอบไปด้วยกระดูก 3 ส่วนคือ
กระดูกต้นขา Femur ซึ่งเป็นกระดูกส่วนบนของเข่า
กระดูกหน้าแข็ง Tibia ซึ่งเป็นกระดูกส่วนล่างของเข่า
กระดูกสะบ้า Patella ซึ่งอยู่ส่วนหน้าของเข่า
ผิวของข้อเข่าจะมีกระดูกอ่อน cartilage รูปครึ่งวงกลมหุ้ม ทำหน้าที่กระจายน้ำ
หนัก ในข้อเข่าจะมีน้ำเลี้ยง synovial fluid เปรียบเสมือนน้ำหล่อลื่น เป็นการ
ป้องกันการสึกของข่อเข่า เมื่อเราเดินหรือวิ่ง ข้อของเราจะต้องรับน้ำหนักเพิ่ม
ดังนั้นยิ่งน้ำหนักตัวมากเท่าใดข้อต้องรับน้ำหนักมากเท่านั้น นอกจากนั้นยังมี
เอ็นและกล้ามเนื้อที่ทำให้ข้อเข่าแข็งแรง

กลไกการเกิดข้อเข่าเสื่อม
ข้อเข่าเสื่อมหมายถึงการที่กระดูกอ่อนของเข่ามีการเสื่อมสภาพ ทำให้กระดูกอ่อนไม่สามารถเป็นเบาะรองรับน้ำหนัก และมีการสูญเสียคุณสมบัติของน้ำหล่อเลี้ยงเข่า เมื่อมีการเคลื่อนไหวของข้อเข่า ก็จะเกิดการเสียดสี และเกิดการสึกหรอของกระดูกอ่อน ผิวของกระดูกอ่อนจะแข็ง ไม่เรียบ เมื่อข้อเข่าเคลื่อนไหวจะเกิดเสียงดังในข้อ เกิดอาการเจ็บปวด หากข้อเข่ามีการอักเสบก็จะมีการสร้างน้ำข้อเข่าเพิ่มทำให้เกิดการบวม ตึง และปวดข้อเข่า
เมื่อมีการเสื่อมมากขึ้น ข้อเข่าก็จะมีการโก่งงอ ทำให้เกิดอาการปวดเข่าทุกครั้ง
ที่มีการเคลื่อนไหว และขนาดของจ้อเข่าก็มีขนาดใหญ่ขึ้น ในที่สุดผู้ป่วยต้องใช้ไม้
เท้าช่วยในการเดิน บางท่านไม่เดินทำให้กล้ามเนื้อต้นขาลีบและไม่มีกำลัง ข้อจะติด
เหมือนมีสนิมเกาะเท้าจะเหยียดไม่สุด
เมื่อข้อเข่าเสื่อมมากขึ้น กระดูกอ่อนจะมีขนาดบางลง ผิวจะขรุขระ จะมีการงอก
ของกระดูกขึ้นมาเรียกว่า osteophyte เมื่อมีการอักเสบเยื่อหุ้มข้อจะสร้างน้ำเลี้ยง
ข้อเพิ่ม ทำให้ข้อมีขนาดใหญ่เพิ่มมากขึ้น กล้ามเนื้อลีบลง การเปลี่ยนแปลงของ
ข้อจะเป็นไปอย่างช้าๆ โดยที่ผู้ป่วยไม่ทราบ ในรายที่เป็นรุนแรงกระดูกอ่อนจะบาง
มาก ปลายกระดูกจะมาชนกันเวลาขยับข้อจะเกิดการเสียดสีในข้อ
การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม
โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นโรคของผู้สูงอายุ หากเป็นแล้วจะไม่สามารถรักษาให้เหมือน
เดิมได้ ดังนั้นการรักษาข้อเข่าเสื่อมจึงมีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด
ป้องกันข้อติด ข้อโก่งงอ เป็นต้น การรักษาแบ่งออกเป็น 3 วิธี
1.การรักษาทั่วไป
2.การรักษาโดยการให้ยารับประทาน
3.การรักษาโดยการผ่าตัด
1. การรักษาทั่วไป
· - ปฏิบัติตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดเข่าเสื่อม เช่นการยกของหนัก การนั่งพับเพียบ การนั่งยองๆ การนั่งสมาธิเป็นเวลานานๆ การใช้ส้วมชนิดนั่งยองๆ การนอนกับพื้นเป็นประจำ เพราะขณะลุกขึ้นหรือลงนอนจะเกิดอันตรายกับลเข่า หลีกเลี่ยงการขึ้นบันไดบ่อยๆ ควรนั่งเก้าอี้ไม่ควรนั่งบนพื้น
· - การลดน้ำหนัก ซึ่งเป็นปัจจัยที่ลดอาการปวดเข่า และช่วยชะลอเข่าเส่อมได้
· - การออกกำลังและการบริหารกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อต้นขาจะทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง จะช่วยลดแรงที่กระทำต่อเข่า วิธีการบริหารทำได้โดยการยืน มือเกาะกับพนักเก้าอี้ ย่อตัวลงให้เข่างอเล็กน้อย นับ3-6 แล้วยืนท่าตรง ทำซ้ำ 3-6 ครั้ง หรืออาจจะทำโดยนั่งเก้าอี้ เหยียดเท้าข้างหนึ่งและเกร็งไว้ 10 วินาที แล้วจึงงอเข่า ทำซ้ำหลายๆครั้ง นอกจากนั้นการเดินเร็วๆ หรือการว่ายน้ำจะช่วยกระตุ้นทำให้กระดูกแข็งแรง
· - เวลาเดินหรือวิ่งให้ใส่รองเท้าสำหรับเดินหรือวิ่งซึ่งจะรองด้วยพื้นกันกระแทก
· - ให้พักเข่าหากมีอาการปวดเข่า
· - ใช้ไม้เท้าค้ำเวลาจะลุก อย่าหยุดใช้งานเพราะจะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง
· - เวลาขึ้นบันไดให้ใช้ข้อที่ดีก้าวนำขึ้นไปก่อน เวลาลงให้ก้าวเท้าข้างที่ปวดลงก่อน มือจับราวบันไดทุกครั้ง
· - ประคบอุ่นเวลาปวด
· - ทำกายภาพบำบัด แพทย์จะแนะนำวิธีบริหารกล้ามเนื้อ และข้อเข่าเพื่อลดอาการปวด ป้องกันข้อติด ป้องกันข้อผิดรูป รวมทั้งทำให้กล้ามเนื้อ และกระดูกแข็งแรง ที่สำคัญต้องปฏิบัติเป็นประจำจึงจะได้ผลดี
การบริหารกล้ามเนื้อ
การพักกล้ามเนื้อเป็นวิธีที่ดีสำหรับการรักษาข้อเข่าเสื่อม แต่ต้องมีการออก
กำลัง หรือบริหารข้อเข่าอย่างเหมาะสม การออกกำลังกายจะช่วยให้กล้ามเนื้อ
และกระดูกแข็งแรง ป้องกันข้อติด การเคลื่อนไหวของข้อดีขึ้น การบริหารมีให้
เลือกหลายท่า
1. 1.นั่งบนเก้าอี้ให้นั่งห้อยเท้าไว้ ผูกน้ำหนักที่ข้อเท้าประมาณ 2-5 กิโลกรัมไว้ที่ข้อเท้าทั้ง2 ข้าง ยกขึ้นลงให้ทำวันละ 1-3 ครั้ง ครั้งละ 5-15 นาที
2. 2.นั่งพักบนเก้าอี้ พักเท้าข้างหนึ่งบนพื้น อีกข้างหนึ่งพักบนเก้าอี้ กดเท้าที่พักบนเก้าอี้นาน 5-10 วินาที แล้วพัก 1 นาที ทำซ้ำ 10 ครั้งให้ทำวันละ 3 ครั้ง
3. 3. นอนหงาย หรือนั่ง หาหมอนรองข้อเท้าข้างหนึ่ง กดเข่าของเท้าที่มีหมอนรอง ให้เข่าติดพื้นให้นับ5-10 วินาที ทำวันละ 3 เวลาทำสลับข้าง
4. 4. นั่งบนเก้าอี้ นำผ้าวางไว้ใต้ฝ่าเท้าข้างหนึ่งแล้วดึงขึ้นในขณะที่เท้าถีบลง ให้เท้าสูงจากพื้น 4-5 นิ้ว ดึงไว้ 5-10 วินาทีพัก 1 นาทีทำซ้ำ 3 เวลา
5. 5.ให้นั่งบนเก้าอี้ หลังพิงพนัก ยกเท้าขึ้นมา และเกร็งกล้ามเนื้อต้นขาโดยการกระดกข้อเท้า ให้นับ 5-10 วินาที ทำข้างละ 10 ครั้งทำวันละ 3 เวลา หากแข็งแรงให้ถ่วงน้ำหนักที่ข้อเท้า
6. 6. ให้นอนหงาย ยกเท้าข้างหนึ่งงอตั้งไว้ อีกข้างหนึ่งยกสูงจากพื้น 1 ฟุตเกร็งกล้ามเนื้อไว้ นับ 1-10 สลับข้างทำ ให้ทำซ้ำหลายๆครั้ง ให้ทำวันละ 3 เวลา
7. 7. ให้ยืนหลังพิงกำแพง ให้เคลื่อนตัวลงจนเข่างอ 30 องศา แล้วยืนขึ้นทำ 5-10 ครั้ง วันละ 3 เวลา
การรักษาโดยการใช้ยา
หากการรักษาทั่วไปไม่สามารถลดอาการปวดเข่า จำเป็นต้องใช้ยาในการ
รักษาซึ่งมียาหลายชนิดให้เลือกดังนี้
1. 1.ยาแก้ปวด เป็นยาที่ลดอาการปวด แต่ไม่ได้แก้อักเสบ พอหมดฤทธิ์ยาก็ปวดอีก เช่นยา paracetamol
2. 2.ยาแก้อักเสบ steroid ใช้กันมากทั้งชนิดฉีดและรับประทาน เนื่องจากมีผลข้างเคียงจึงไม่แนะนำให้ใช้
3. 3.ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่ steroid ยากลุ่มนี้นิยมใช้กันมากขึ้นแต่ต้องระวังการเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น ความดันโลหิต โรคหัวใจ โรคกระเพาะอาหาร
4. 4. ยาบำรุงกระดูกอ่อน ได้ผลช้า ค่าใช้จ่ายสูงจึงไม่เป็นที่นิยม
5. 5. การใช้น้ำหล่อเลี้ยงข้อชนิดเทียม
เนื่องจากโรคข้อเสื่อมจะมีน้ำหล่อเลี้ยงข้อน้อย ทำให้มีการเสียดสีของข้อ จึงมี
การฉีดน้ำหล่อเลี้ยงข้อเทียมเข้าไปในเข่า 3-5 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 1 สัปดาห์ซึ่ง
จะลดการเสียดสีของข้อ ลดอาการปวด แต่การฉีดใช้ได้เฉพาะข้อที่เสื่อมไม่มาก
การผ่าตัด

ปัจจุบันได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากได้รับผลดี โรคแทรกซ้อนไม่มาก วิธี
การผ่าตัดก็มีได้หลายวิธีดังนี้
1. 1.การผ่าตัดโดยการส่องกล้อง (arthroscope) เหมาะสำหรับข้อที่เสื่อมไม่มาก แพทย์จะเอาสิ่งสกปรที่เกิดจากการสึกออกมาเ
2. 2.การผ่าตัดแก้ความโก่งงอของเข่า วิธีนี้ต้องตัดกระดูกบางส่วนออก ทำให้ต้องใช้เวลานานกว่าจะใช้งานได้ ปัจจุบันนิยมลดลง
3. 3. การผ่าตัดใส่ข้อเทียม คือการใส่ข้อเข่าเทียมแทนข้อที่เสื่อม ซึ่งผลการผ่าตัดทำให้หายปวด ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้ดีขึ้น
| หน้าที่เข้าชม | 2,237,684 ครั้ง |
| ผู้ชมทั้งหมด | 1,832,901 ครั้ง |
| เปิดร้าน | 13 เม.ย. 2558 |
| ร้านค้าอัพเดท | 18 ก.ย. 2568 |